วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

 ประเพณีวันสงกรานต์





เทศกาลสงกรานต์

เทศกาลสงกรานต์นี้ ชาวล้านนาเรียกว่า ปาเวณีปีใหม่ ( อ่าน " ป๋าเวณีปี๋ใหม่ " )ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า " ประเพณีสงกรานต์ " ในช่วงเทศกาลซึ่งกินเวลา ๕ วันนี้ ชาวล้านนาจะเฉลิมฉลองวาระนี้ทั้งในแง่ศาสนาและพิธีกรรมโดยตลอดจะมีวันและพิธีกรรม การละเล่นหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ดังนี้

วันสงกรานต์ล่อง หรือมหาสงกรานต์

ในวันนี้ ตั้งแต่เช้าตรู่ จะมีการปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด มีการซักเสื้อผ้า ส่วนที่นอนหรือสิ่งที่ซักไม่
ได้ก็จะนำออกไปตากหรือปัดฝุ่นเสีย ในบริเวณบ้านก็จะเก็บกวาดและเผาขยะมูลฝอยต่างๆ เสื้อผ้าที่นุ่งห่มก็จะ
เป็นเสื้อผ้าใหม่ พ่อบ้านก็จะนำเอาพระพุทธรูป พระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังต่างๆ มาชำระหรือสรงด้วยน้ำอบ น้ำหอมหรือน้ำ ขมิ้นส้มป่อย ส่วนดอกไม้บูชาพระ ซึ่งมักจะเป็นยอดของต้นหมากผู้-หมากเมีย ในไหดอกหรือแจกันนั้นก็จะเปลี่ยนใหม่ด้วย

วันเนาหรือวันเนาว์

จะเป็นวันเตรียมงานชาวบ้านจะพากันไปซื้อของกินเพื่อกินและใช้ในวันพญาวัน เมื่อถึงตอนบ่ายจะ
มีการขนทรายเข้าวัด เพื่อกองรวมกันทำเป็นเจดีย์ การขนทรายเข้าวัดนี้ ถือว่าเป็นการนำทรายมาทดแทนส่วนที่ติดเท้าของตนออกจากวัด ซึ่งเสมอกับได้ลักของจากวัด ในขณะที่มีการสร้างเจดีย์ทรายที่วัดนั้น ทางบ้านก็จะจัดเตรียมตัดกระดาษสีต่างๆ มาทำทุง ( อ่านว่า " ตุง " ) หรือธงอย่างธงตะขาบชาวบ้านจะนำทุงที่ตัดเป็นเป็นลวดลายนำไปปักที่เจดีย์ทรายในวันรุ่งขึ้น
วันเนา นี้อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วันดา เพราะเป็นวันที่ ดา หรือจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ทั้งข้าวของรวมไปถึงอาหารและขนมที่จะใช้ทำบุญและใช้บริโภคในวันพญาวัน ขนมที่นิยมทำกันในเทศกาลสงกรานต์นี้มีหลายชนิด เช่นเข้าหนมจ็อก คือขนมใส่ใส้อย่างขนมเทียน เข้าหนมปาด หรือ ศิลาอ่อน คือขนมอย่างขนมถาดของภาคกลาง เข้าแตน ( อ่านว่า " ข้าวแต่น " ) คือขนมนางเล็ด ข้าวแคบ คือข้าวเกรียบซึ่งมีขนาดประมาณฝ่ามือ ข้าวตวบ คือข้าวเกรียบว่าว เข้าพอง ( อ่านว่า " ข้าวปอง " ) คือขนมอย่างข้าวพองของภาคกลาง เข้าหนมตายลืม คือข้าวเหนียวคนกะทิและใส่น้ำอ้อยแล้วนึ่งแต่ไม่ให้สุกดีนัก เข้าต้มหัวหงอก คือข้าวต้มมัดที่โรยด้วยฝอยมะพร้าวขูด เข้าหนมวง คือขนมกง
เข้าหนมเกลือ ( อ่านว่า " เข้าหนมเกื้อ " ) คือขนมเกลือ แต่ทั้งนี้ขนมที่นิยมทำมากที่สุดในช่องเทศกาลคือ เข้าหนมจ็อก

วันพระญาวัน

เป็นวันเถลิงศกเริ่มต้นจุลศักราชใหม่ วันนี้เป็นวันที่มีการทำบุญทางศาสนา ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่
จะมีคนนำเอาสำรับอาหารคาวหวานต่างๆ ไปทำบุญถวายพระตามวัด อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษหรือญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว นอกจากนี้จะนำสำรับอาหารไปมอบให้กับบิดามารดา ปูย่า ตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ หลังจากนั้นจะนำทุงหรือธงซึ่งได้เตรียมไว้แต่วันก่อนนี้ไปปักบนเจดีย์ทราย ส่วนในตอนบ่ายจะมีการไปดำหัวหรือไปคารวะผู้เฒ่าผู้แก่ บิดามารดา ญาติพี่น้อง ผู้อาวุโส ผู้มีบุญคุณหรือผู้ที่เคารพนับถือเพื่อเป็นการขอขมาลาโทษอันเนื่องจากที่อาจได้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรต่อท่านเหล่านั้น การดำหัวนี้อาจนับรวมถึง การดำหัวพระเจ้า คือการแสดงคารวะต่อพระพุทธรูปที่สำคัญประจำเมือง เช่น พระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาวในวัดเชียงมั่น พระพุทธสิหิงค์ และพระเจ้าทองทิพย์ที่วัดพระสิงห์ พระเจ้าเก้าตื้อที่วัดสวนดอก เป็นต้น นอกจาก การดำหัวพระเจ้าแล้วอาจจะมีการดำหัวกู่ ที่บรรจุพระอัฐิของบรรพบุรุษ หรือเจ้านายที่ได้ทำคุณงามความดีไว้ต่อบ้านเมือง และอาจอาจกระทำแก่ครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลสำคัญในชุมชนนั้น ๆ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ซึ่งการไปดำหัวนี้ หากไปดำหัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิทธิของส่วนรวมหรือดำหัวผู้บงคับบัญชาแล้ว ก็อาจมีการจัดขบวนดำหัวเป็นการเอิกเกริกก็ได้

เครื่องพิธีสำหรับดำหัวนั้น ประกอบด้วยเครื่องเคารพซึ่งประกอบด้วยข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน น้ำขมิ้นส้มป่อย และของบริวารอื่นๆ เช่น มะม่วง มะปราง แตงกวา มะพร้างอ่อน กล้วย อ้อย ขนม ข้าวต้ม หมากพลู เมี่ยงบุหรี่หรือมีเงินทองใส่ไปด้วยก็ได้ หรืออาจจะมีเสื้อผ้า กางเกง ผ้าซิ่น ผ้าขนหนู หรือของที่ระลึกอื่นๆ จัดตกแต่งใส่พานหรือภาชนะให้เรียบร้อยสวยงาม หรือจัดอย่างพานบายศรีพุ่มดอกไม้ การไปดำหัวที่ไปเป็นขบวนนี้ มักจะไปในตอนเย็น หรือประมาณ ๑๖.00 -๑๗.00 น.
วันสำคัญที่ ๔ ในเทศกาลสงกรานต์ คือวันปากปี ซึ่งถือว่าเป็นเริ่มต้นของปีใหม่ ในวันนี้ชาวบ้านจะพากันไปดำหัววัด คือไปทำพิธีคารวะเจ้าอาวาสวัดที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน



ความเชื่อบางประการเกี่ยวกับวันเน่า

วันเน่าไม่ควรด่าทอ สาปแช่งหรือกล่าวคำร้ายต่อกัน ปากจะเน่า จะอับโชคไปทั้งปี

วันเน่าควรตัดไม้ไผ่ที่จะสร้างบ้าน มอดปลวกจะไม่มากิน

ความเชื่อบางประการเกี่ยวกับวันพญาวัน

วันพญาวันควรกินข้าวกับลาบ เพราะจะทำให้มีโชคลาภตลอดปี

สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่ม 12 กล่าวถึงความเชื่อบางประการเกี่ยวกับวันพญาวันว่า

พญาวันมาในวันอาทิตย์ ยักษ์มาอยู่เฝ้าแผ่นดิน ห้ามทำการมงคลกรรมในวันอาทิตย์

พญาวันมาในวันจันทร์ นางธรณีมาอยู่เฝ้าแผ่นดิน ห้ามทำการมงคลกรรมในวันจันทร์ในปีนั้นดีนัก

พญาวันมาในวันอังคาร พญาวัวอุศุภราชมาอยู่เฝ้าแผ่นดิน ทำการมงคลกรรมในวันอังคารดีนัก

พญาวันมาในวันพุธและวันพฤหัสบดี นาคมาอยู่เฝ้าแผ่นดิน กระทำการมงคลกรรมใดๆ ในวันพุธได้ผลดี

พญาวันมาในวันศุกร์ ช้างมาอยู่เฝ้าแผ่นดิน กระทำการใดๆ ในวันศุกร์ของปีนั้นให้ผลสมบูรณ์ดี

พญาวันมาในวันเสาร์ พญามารมาเฝ้าแผ่นดิน การมงคลที่ทำในวันพฤหัสบดีในปีนั้นไม่ดี

ความเชื่อบางประการเกี่ยวกับวันปากปี

วันปากปีควรกินข้าวกับแกงขนุน เพราะจะมีสิ่งดีๆ มาอุดหนุนค้ำจุนตลอดปี

ความหมายและความสำคัญของปีใหม่เมือง

คนเมืองหมายถึงคนพื้นเมืองในเขตแปดจังหวัดภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย บางครั้งถูกเรียกว่าคนเหนือหรือชาวเหนือ หรือคนล้นนาหรือชาวล้านนา
ปีใหม่หมายถึงการกำหนดจุดเริ่มต้นของปีแต่ละปี ปีใหม่เมืองกำหนดเอาจุดที่พระอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ มักจะตรงกับวันที่ 13 เมษายน เป็นส่วนมาก แต่ก็มีบ้างที่บางปีตรงกับวันที่ 14 เมษายน อย่างในปี

จุดกำเนิดของประเพณีปีใหม่เมืองนั้นยากที่จะระบุวันเวลาที่แน่นอนได้ว่าเกิดขึ้นในยุคใด สมัยใดในประวัติศาสตร์ เพราะยังหาหลักฐานที่จะมารองรับไม่พบ เข้าใจกันแต่ว่ามีมาเนิ่นนานแล้ว แต่จะน่านเท่าไรไม่มีใครรู้ อาจจะอนุมานได้คร่าวๆ ว่าประเพณีปีใหม่เมืองน่าจะเกิดขึ้นเมื่อพระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกซึ้งแล้วในสังคมคนพื้นบ้านพื้นเมือง เพราะความรู้เกี่ยวกับเรื่องจักรราศีและการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์นั้นไม่ใช่ความรู้เดิมของคนเมือง แต่เป็นองค์ความรู้ที่ติดมากับพุทธศาสนา

พุทธศาสนา เริ่มเข้ามาในท้องถิ่นเมื่อราว พ.ศ. 1100 กว่าๆ (พุทธศตวรรษที่ 12) เมื่อคราวพระนางจามเทวีเสด็จจากละโว้ขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัย หากข้อความทั้งหมดเป็นจริง นั่นก็แสดงว่าก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 ดังกล่าว ผู้คนที่อยู่อาศัยในภูมิภาคนี้ยังไม่รุ้จักพุทธศาสนา ยังไม่ได้รับองค์ความรู้ต่างๆ ที่ติดมากับพุทธศาสนา เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการแบ่งพื้นที่บนท้องฟ้าเป็นราศีต่างๆ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุบนท้องฟ้า เป็นต้น

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ปีใหม่เมืองที่กำหนดเอาช่วงที่พระอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ยังไม่มีในหมู่คนพื้นเมืองในยุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 และก่อนช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ในพื้นที่ๆ เรียกว่าแปดจังหวัดภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยนี้ คนพื้นเมืองที่อยู่ที่นี่ อาจไม่ใช่คนพื้นเมืองกลุ่มเดียวกันกับปัจจุบัน อาจจะคนละสายเลือด คนละวัฒนธรรมก็เป็นได้หรืออาจจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่มีลักษณะคลี่คลายทางวัฒนธรรม จนกลายมาเป็นคนเมืองในปัจจุบันเป็นได้

ความสำคัญของปีใหม่เมือง

ปีใหม่เมืองอย่างที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้ จะมีอายุยาวนานมาสักแค่ไหนสุดที่จะรู้ได้ รับรู้กันแต่ว่ามีมานาน สืบสายกันมาหลายชั่วคนจนยอมรับกันว่าเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนล้านนา ความสำคัญของปีใหม่เมืองที่มีต่อคนเมืองนั้นมีมากมายหลายประการ อาจจำแนกได้ดังนี้

1. เป็นการเปลี่ยนปี

คนเมืองจะนับปีตามปีใหม่เมือง พอถึงปีใหม่จะกลายเป็นปีหนึ่งที่ไม่ใช่ปีเดิม อายุเราจะเพิ่มขึ้นอีกปี

2. เป็นการเตือนตน

สำรวจตรวจสอบตนเอง สืบเนื่องจากข้อ 1 การเปลี่ยนปีทำให้อายุเพิ่มขึ้น การที่อายุเพิ่มขึ้นจะเป็นการย้ำเตือนให้คนเมืองรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของวันวัยและสังขาร เด็กๆ จะรู้ว่าพวกเข้าเติบโตขึ้นอีกปี หนุ่มสาวจะรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่เพิ่มมากขึ้น ผู้ใหญ่จะสำรวจตรวจสอบตัวเองว่าเราเริ่มก้าวเข้าสู่วัยถดถอย จะเริ่มปลง ไม่ยึดมั่นถือมั่นหนักแน่นเช่นวัยหนุ่มสาว เลือดลมจะค่อยเย็นลง ส่วนคนชราก็จะตระหนักรู้ว่าทางเดินชีวิตของเราใกล้สิ้นสุดแล้ว จะยอมรับถึงความจริงสูงสุดของชีวิต นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนชราที่เป็นอยู่ในวิถีคนเมือง จะไม่ค่อยดิ้นรนขัดขืนความเป็นจริงสูงสุดของชีวิต จะยอมรับความตายได้โดยสงบ

3. เป็นการชำระสะส่างสิ่งที่ไม่ดี

สืบเนื่องจากข้อ 2 ปีใหม่เมืองเป็นช่วงโอกาสที่คนเมืองมักจะสำรวจตรวจสอบสิ่งต่างๆ ที่ล่วงแล้วมา ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ ความประพฤติ ข้อปฏิบัติต่างๆ เมื่อพบข้อบกพร่องก็มักจะตั้งจิตตั้งใจชำระสะสางสิ่งที่ไม่ดีไม่งามออกไปอันใดที่มันร้ายๆ หรือมันไม่ดี ก็ขอให้ดับไปกับไฟ ให้ไหลไปกับน้ำ ให้ล่องไปกับสังขาร

4. เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

ปีใหม่เมืองมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายหลายประการ ทั้งที่เป็นวัตถุและความเคลื่อนไหว เช่นมีเสื้อผ้าใหม่ มีข้าวของเครื่องใช้ใหม่ มีความคึกคักเคลื่อนไหวในการต้นรับปีใหม่ สิ่งใหม่ๆ เหล่านนี้จะไปกระตุ้นจิตใจที่ป่าวยไข้หรือซบเซาหรือท้อแท้ถดถอยให้มีแรงขึ้น จะเกิดการตั้งใจใหม่ ตั้งความหวังใหม่ พยายามใหม่ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

วันสงกรานต์ ประเพณีไทย

สงกรานต์ซึ่ง เป็นประเพณีของประเทศไทย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึง การผ่าน หรือ การเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี...



ประเพณีสงกรานต์ ของไทยที่สืบกันมาอย่างช้านาน


โดยการนับ ระยะเวลาที่เส้นทางของ ดวงอาทิตย์โคจรผ่านกลุ่มดาวฤกษ์จักราศีทั้ง 12 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มดาวราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พิจิก ธนู มังกร กุมภ์ และ มีน การโคจร ผ่านกลุ่มดาวแต่ละกลุ่ม จะใช้ระยะเวลา ประมาณ 30 วัน เมื่อ ดวงอาทิตย์โคจรผ่าน กลุ่มดาว เหล่านี้ครบทั้ง 12 กลุ่ม ก็จะได้ระยะเวลา 1 ปี พอดี เป็นวิธีการนับเดือนที่ใช้กันใน ประเทศอินเดีย และกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจาก อินเดียเช่น ไทย พม่า เขมร ลาว เป็นต้น

นางสงกรานต์ 2557



วันมหาสงกรานต์ 13 เมษายน


วันที่ 13 เมษายน เป็นวัน"มหาสงกราต์" หรือ วันเริ่มต้นปีใหม่ ทั้งนี้เป็นเพราะเป็นจากช่วงเวลาที่ดวง อาทิตย์โคจรผ่านจากราศีมีนเข้าสู่ ราศีเมษนั้น โลกโคจรเป็นมุมฉากกับดวงอาทิตย์ จึงมีกลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันพอดี วันสงกรานต์เป็นวันทำบุญใหญ่ประจำปี มี 3 วันคือ วันมหาสงกรานต์หรือวันส่งท้ายปีเก่า (วันที่ 13 เมษายน) วันกลางหรือวันเนา (วันที่ 14 เมษายน) วันขึ้นปีใหม่ หรือวันเถลิงศก (วันที่ 15 เมษายน)


หรือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของประเทศไทยและบางประเทศในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ และชาวต่างประเทศจะเรียกว่าเทศกาลนี้ว่า “สงครามน้ำ” สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมาย ถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี เมื่อวันสงกรานต์ตรงกับวันใดของแต่ละปี ซึ่งจะมีนางสงกรานต์ประจำวันนั้นๆ


ชื่อของนางสงกรานต์
ชื่อของนางสงกรานต์มี ดังนี้ วันอาทิตย์ ชื่อนางทุงษะเทวี วันจันทร์ชื่อนางโคราคะเทวี วันอังคารชื่อนางรากษสเทวี วันพุธชื่อนางมณฑาเทวี วันพฤหัสชื่อนางกิริณีเทวี วันศุกร์ชื่อนางกิมิทาเทวี วันเสาร์ชื่อนางมโหธรเทวี


นางสงกรานต์ ทั้ง 7 ของท้าวกบิลพรหม

ตำนานนางสงกรานต์


บุตรของเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ ธรรมบาลกุมาร เป็นผู้ที่รู้ภาษานก เรียนไตรเพทจบ เมื่ออายุเจ็ดขวบ เป็นอาจารย์บอก มงคลต่าง ๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง ซึ่งในขณะนั้น โลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหมองค์หนึ่งว่า เป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง เมื่อกบิลพรหมทราบ จึงลงมาถามปัญหาธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ สัญญาไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ปัญหานั้นว่า



ท้าวกบิลพรหมทรงตรัสถามปัญหา 3 ข้อ


ข้อ 1. เช้าราศีอยู่แห่งใด
ข้อ 2. เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
ข้อ 3. ค่ำราศีอยู่แห่งใด


ธรรมบาลขอผลัด 7 วัน ครั้นล่วงไปได้ 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดไม่ได้ จึงลงจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น ครั้ง เวลาค่ำนางนกอินทรีจึงถามสามีว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารแห่งใด สามีบอกว่า จะได้กินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย เพราะทายปัญหาไม่ออก นางนกถามว่า ปัญหานั้นอย่างไรสามีจึงบอกว่า ปัญหาว่าเช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด นางนกถามว่า จะแก้อย่างไร สามีบอกว่า เช้าราศีอยู่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่อก มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก เวลาค่ำราศีอยู่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้าครั้งรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถามปัญหา ธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา


ท้าวกบิลพรหมจึงตรัส เรียกเทพธิดาทั้ง 7


ท้าวกบิลพรหมจึงตรัส เรียกเทพธิดาทั้ง 7 อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกัน บอกว่า เราจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาล ศีรษะของเราถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก ถ้าจะทิ้งขึ้นบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งไว้ในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง

ธิดาทั้งเจ็ดเอาพานมารับศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้ธิดาผู้ใหญ่ นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้ แล้วแห่ทำประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที จากนั้นเชิญไปประดิษฐานไว้ในมณฆปถ้ำคันธุลีเขาไกรลาศ บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่าง ๆ พระเวสสุกรรมกันฤมิตรแก้วเจ็ดประการชื่อ ภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงนำเอาเถาฉมุลาด ลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทุก ๆ พระองค์ ครั้งถึงครบกำหนด 365 วัน โลกสมมติว่า ปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาเจ็ดองค์ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม ออกแห่ประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วกลับไปเทวโลก ซึ่งลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น

เราสมมติเรียกว่า นางสงกรานต์ มีชื่อต่าง ๆ ดังนี้ วันอาทิตย์ ชื่อนางทุงษะเทวี วันจันทร์ชื่อนางโคราคะเทวี วันอังคารชื่อนางรากษสเทวี วันพุธชื่อนางมณฑาเทวี วันพฤหัสชื่อนางกิริณีเทวี วันศุกร์ชื่อนางกิมิทาเทวี วันเสาร์ชื่อนางมโหธรเทวี


ความหมายวันมหาสงกรานต์ของแต่ละวัน

ถ้าปีใดวันมหาสงกรานต์เป็นวันอาทิตย์ ปีนั้นไร่นาเรือกสวน เผือกมัน มิสู้แพงแล วันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ จะแพ้เสนาบดี ท้าวพระยาและนางพระยาทั้งหลาย

วันอังคารและวันเสาร์ เป็นวันมหาสงกรานต์ จะเกิดอันตรายกลางเมือง จะเกิดเพลิงและโจรผู้ร้าย และจะเจ็บ ไข้นักแล วันพุธ เป็นวันมหาสงกรานต์ ว่าท้าวพระยาจะได้เครื่องบรรณาการมาแต่ต่างเมือง แต่จะแพ้ลูกอ่อนนักแล

วันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ จะแพ้ข้าไท พระสงฆ์ราชาคณะจะได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจกันแล

วันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าวน้ำ ลูกหมากรากไม้ทั้งหลายจะอุดม แต่จะแพ้เด็ก ฝนและพายุชุม จะเจ็บตากันมากนักแล




สาดน้ำ เล่นสงกรานต์ของชาวภาคเหนือ

ความสำคัญของวันสงกรานต์

พิธีสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่ยึดถือปฏิบัติ มาแต่โบราณช่วงวัน สงกรานต์จึงเป็นวันแห่งความเอื้ออาทร ความรัก ความผูกพัน ที่มีต่อกันทั้งครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสนา แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อส่วนนั้นไปและ ในความเชื่อดั้งเดิมที่ใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น และขอพรจาก บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย รวมทั้งแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบรรพบุรุษ ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ การสร้างความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน ได้แก่ การร่วมกันทำบุญให้ทาน การก่อพระเจดีย์ทรายและเป็น การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การเล่นสาดน้ำเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงร่วมกัน นอกจากนี้ ยังสร้างความรู้สึกผูก พันกลมเกลียวต่อบุคคลในสังคมเดียวกัน และสร้างความรู้สึกหวงแหนในสาธารณสมบัติของสังคม และสิ่งแวดล้อมโดยการช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน วัดวาอาราม ตลอดจนอาคารสถานที่สถานที่ต่างๆ

เวลาได้เปลี่ยนไป ผู้คนได้มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ๆ และจะถือเอาวันสงกรานต์เป็นวัน “กลับบ้าน” ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายขอเทศกาล นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยัง ถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ปัจจุบันนี้เทศกาลสงกรานต์มีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาด เคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นเท่านั้น



สงกรานต์ Festivel ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย


ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาล เป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า “วันมหาสงกรานต์” วันถัดมาเรียกว่า “วันเนา” และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า “วันเถลิงศก” จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) ซึ่งบางปีก็อาจจะตรงกับวันใดวันหนึ่ง

กิจกรรมในวันมหาสงกรานต์





พุทธศาสนิกชนใส่บาตรทำบุญใน วันสงกรานต์

ทำบุญตักบาตร


วันมหาสงกรานต์ ประชาชนจะลุกขึ้นมาตอนเช้าเพื่อที่จะจัดเตรียมอาหาร ไปตักบาตรถวายพระ พอจัดเตรียมอาหารเสร็จก็จะ บรรจงลงภาชนะมีถ้วยโถโอชามที่สวยงาม แล้วเอาวางเรียงลงในถาด เพื่อนำไปทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระประจำหมู่บ้านของตน เรื่องการแต่งตัว จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดสวยงามมิดชิดเหมาะแก่การไปวัดของชาวบ้าน



ก่อพระเจดีย์ทราย วันสงกรานต์

ก่อพระเจดีย์ทราย



ในสมัยก่อนทีเรื่องเล่าขานกันว่าทุกคนเมื่อเข้าวัดมาแล้วเวลาเดินออกจากวัดจะมีเม็ดทรายติดเท้าออกไปด้วยเพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการเติมเต็มจึงมีการขนทรายเข้าวัดหรือการก่อพระเจดีย์ทรายนั้นเองแต่ถึงอย่างไรแล้วการก่อพระเจดีย์ทรายก็เป็นเพียงกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมกันทำเพราะตอนเย็นๆชาวบ้านก็จะพากันไปที่ท่าน้ำแล้วขนทรายกันมาคนละถังเพื่อนำทรายมาก่อเป็นพระเจดีย์นั่นถือว่าเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่จะให้ชาวบ้านมีความสามัคคีกรมเกลียวเพราะเมื่อขนทรายเข้าวัดแล้วทรายก็จะล้นวัดพระสงฆ์ก็จะนำทรายที่ชาวบ้านขนมานำไปคืนสู่แม่น้ำดังเดิมเพราะไม่รู้จะเก็บไว้ทำอะไรเพราะฉะนั้นแล้วเวลาขนทรายเข้าวัดควรจะขนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นพอเพราะจะสร้างความลำบากให้พระเณรในภายหลัง



พุทธศาสนิกชนร่วมใจปล่อยนก วันสงกรานต์

ปล่อยนกปล่อยปลา

การปล่อยนกปล่อยปลาในวันมหาสงกรานต์ถือว่าทำกันอาจจะเป็นประเพณีเลยทีเดียวเพราะนั่นถือว่าเมื่อเข้าวัดมาแล้วก็ต้องทำบุญโดยการปล่อยนกปล่อยปลาถ้าถือตามความเชื่อแล้วอานิสงส์ในการปล่อยนกปล่อยปลาถือว่ามีมากเลยทีเดียวแล้วแต่ใครจะอธิฐานแบบไหนเพราะการให้ชีวิตใหม่แก่สัตว์ที่ถูกจับมาทรมานถือว่าได้บุญมากเลยทีเดียวเพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยถ้าถึงวันสงกรานต์จะเห็นประชาชนปล่อยนกปล่อยปลา



พุทธศาสนิกชนร่วมใจสรงน้ำพระ วันสงกรานต์

สรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำ

การสรงน้ำพระพุทธรูป มีดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชา แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ ทำเป็นสังเขปพอเป็นพิธีว่าได้แสดงความเคารพบูชาและสรงน้ำท่านในวันขึ้นปีใหม่แล้ว เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมา ก็มีการแห่แหนกันอย่างสนุกสนาน สรงน้ำพระพุทธรูปแล้วก็มีการสรงน้ำพระสงฆ์ โดยมากมักเป็นสมภารเจ้าวัดเป็นการสรงน้ำจริงๆ สรงเสร็จครองไตรจีวรใหม่ที่อุบาสกอุบาสิกานำมาถวาย ท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อำนวยพรปีใหม่ให้แก่ผู้ที่ไปสรงน้ำ นอกจากนี้ยังมีการ รดน้ำญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ เพื่อขอศีลขอพรตามประเพณี




ร่ม ฉัตร วันสงกรานต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น